การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ใช่ทางเลือก
เช่นเดียวกับการปฏิสนธิตามธรรมชาติ
การตั้งครรภ์ การคลอดลูก และเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับมนุษย์ การให้ลูกกินนมแม่เป็นวิธีธรรมชาติในการให้อาหารทารกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย
แต่วิธีตามธรรมชาติเหล่านี้
ไม่มีการรับรองว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด สังคมจึงสร้างทางเลือกเผื่อไว้ในกรณีที่มีการผิดแผนไปจากที่ธรรมชาติตั้งใจ
การทำเด็กหลอดแก้ว
การอุ้มบุญ การผ่าตัดคลอด การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด และการให้ทารกกินนมผสม
สิ่งเหล่านี้มีไว้ใช้เวลาที่ธรรมชาติเกิดความผิดพลาด
แต่ทำไมจึงมีความแตกแยกระหว่างแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่กับแม่ที่ให้ลูกกินนมผสม
ทำไมการเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง จึงถูกมองว่าเป็นการตำหนิอีกฝ่ายที่เลือกไม่เหมือนกัน
ทำไมความขัดแย้งแบบนี้ไม่เกิดในกลุ่มแม่ที่คลอดธรรมชาติกับแม่ที่ผ่าตัดคลอด
ลองนึกดูว่าเราเคยเห็นคนที่มีลูกง่ายถกเถียงกับคนที่ไปทำเด็กหลอดแก้วไหม เคยเห็นแม่ที่คลอดลูกตามกำหนดไปตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีการดูแลมากมายสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ เคยเห็นคนเป็นหมันไปร้องเรียนไม่ให้โฆษณาการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวหรือไม่
ลองนึกดูว่าเราเคยเห็นคนที่มีลูกง่ายถกเถียงกับคนที่ไปทำเด็กหลอดแก้วไหม เคยเห็นแม่ที่คลอดลูกตามกำหนดไปตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีการดูแลมากมายสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ เคยเห็นคนเป็นหมันไปร้องเรียนไม่ให้โฆษณาการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัวหรือไม่
อะไรที่ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงเช่นนี้ในกลุ่มแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่และแม่ที่ให้ลูกกินนมผสม
ถ้ามองย้อนไปในอดีตที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ เราจะหาคำตอบได้ไม่ยาก
แรกเริ่มเดิมทีนมผสมเกิดขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับทารกที่ไม่มีโอกาสได้กินนมแม่
ซึ่งในอดีตมักจะหมายถึงทารกที่โดนทิ้งตั้งแต่แรกเกิดและไม่มีแม่นมรับไปเลี้ยง
หรือทารกกำพร้าที่ไม่มีญาติที่อยู่ในระยะให้นมลูก
แต่เพราะการตลาดฉ้อฉลของบริษัทนมผสมที่มุ่งสร้างผลกำไร
ทำให้การให้นมผสมก้าวกระโดดจากทางเลือกสุดท้ายขึ้นมาเป็นทางเลือกแรก
และในศตวรรษที่ผ่านมาเราต้องทั้งใช้เวลาและความพยายามมหาศาล เพื่อจะแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวของบริษัทนมผสม
แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จยังอยู่อีกยาวไกล
ถ้าบริษัทนมผสมแค่โฆษณาว่า
นมผสมเป็นทางเลือกหนึ่งแทนนมแม่ ก็เป็นเรื่องแย่พออยู่แล้ว แต่ความจริงเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นมาก
บริษัทนมผสมใช้โฆษณาทรงพลังชักจูงให้คนเชื่อว่านมผสมมีสรรพคุณเหนือกว่านมแม่ เพียงชั่วอายุคนเดียวทางเลือกของคุณแม่มือใหม่ก็หมดไป เพราะแพทย์และพยาบาลถูกบริษัทนมผสมล้างสมอง และให้ข้อมูลเท็จที่ได้รับจากบริษัทนมผสมที่สนใจแต่เงินผลกำไรมหาศาล
บริษัทนมผสมใช้โฆษณาทรงพลังชักจูงให้คนเชื่อว่านมผสมมีสรรพคุณเหนือกว่านมแม่ เพียงชั่วอายุคนเดียวทางเลือกของคุณแม่มือใหม่ก็หมดไป เพราะแพทย์และพยาบาลถูกบริษัทนมผสมล้างสมอง และให้ข้อมูลเท็จที่ได้รับจากบริษัทนมผสมที่สนใจแต่เงินผลกำไรมหาศาล
ผลลัพธ์ที่น่าสะเทือนใจไม่ใช่การที่คนในสังคมสูญเสียความมั่นใจกับการให้ลูกกินนมแม่
แต่คือการที่สังคมไม่ตระหนักถึงอันตรายของการให้ทารกกินนมผสมแทนการให้กินนมแม่ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้
เมื่อเราแทนที่นมแม่ด้วยนมผสมและอาหารสังเคราะห์ มันจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพทั้งปัจจุบันและในอนาคต การทำเด็กหลอดแก้ว การคลอดก่อนกำหนด หรือการผ่าตัดคลอด มีอันตรายและความเสี่ยงเป็นผลตามมา
การให้ทารกกินนมผสมก็เช่นเดียวกัน
แต่เมื่อไหร่ที่เรายกเอาอันตรายและความเสี่ยงของนมผสมขึ้นมาพูด
คนในสังคมก็มักจะโวยวายว่าไม่เห็นใจแม่ที่ต้องอาศัยนมผสม เป็นเวลาหลายปีแล้วที่อันตรายของนมผสมถูกปกปิดเอาไว้ด้วยการใช้คำพูดที่่อ่อนลงและการบอกประโยชน์ของนมแม่
วิธีการแบบนี้เหมือนกับการบอกข้อดีของการหายใจในอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่มีควันบุหรี่ การบอกประโยชน์ของการไม่ไปอยู่ในที่ที่มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหล
หรือการไม่ควรเดินตัดหน้ารถยนต์
การให้ลูกกินนมแม่ไม่ได้มีประโยชน์ การให้ลูกกินนมแม่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่การให้ลูกกินนมแม่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
การให้ลูกกินนมแม่ไม่ได้มีประโยชน์ การให้ลูกกินนมแม่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่การให้ลูกกินนมแม่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
การตัดสินใจให้ทารกกินนมผสม
ไม่ว่าจะให้ร่วมกับนมแม่ หรือให้แทนนมแม่เลย ต้องพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
การให้นมผสมไม่ใช่การเลือกว่าจะให้กินนมแม่หรือไม่ การตัดสินใจเลือกไม่เกี่ยวกับการให้ลูกกินนมแม่เลย
ก่อนที่เราจะเข้าไปแทรกแซงขั้นตอนตามธรรมชาติ เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงอันตรายที่จะเกิดและประโยชน์ที่จะได้รับ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะหรือการฟอกไต การให้นมผสมควรจะนำมาใช้เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ก่อนที่เราจะเข้าไปแทรกแซงขั้นตอนตามธรรมชาติ เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงอันตรายที่จะเกิดและประโยชน์ที่จะได้รับ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะหรือการฟอกไต การให้นมผสมควรจะนำมาใช้เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ความขัดแย้งทางอารมณ์
การรณรงค์เกี่ยวกับสุขภาพต่าง
ๆ ออกแบบขึ้นเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์
เปลี่ยนนิสัยและกระตุ้นให้พวกเขาตั้งคำถามกับแนวทางการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลิกบุหรี่
กินผักมากขึ้น ออกกำลังมากขึ้น ลดแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการโดนแดด ลดการบริโภคไขมัน
ตรวจภายใน กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากขึ้น ฯลฯ ฯลฯ
เราอ่านนิตสาร ดูโทรทัศน์ ไปหาหมอ หรืออ่านป้ายโฆษณา ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่ามีวิธีการมากมายที่จะทำให้สุขภาพเราดีขึ้น ทั้งในตอนนี้และในอนาคต ถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ หมายความว่าเราไม่ยอมใช้พลังของเราในการลงมือทำเพื่อตัวเอง
เราอ่านนิตสาร ดูโทรทัศน์ ไปหาหมอ หรืออ่านป้ายโฆษณา ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่ามีวิธีการมากมายที่จะทำให้สุขภาพเราดีขึ้น ทั้งในตอนนี้และในอนาคต ถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ หมายความว่าเราไม่ยอมใช้พลังของเราในการลงมือทำเพื่อตัวเอง
แต่พอมีการติดโปสเตอร์รณรงค์นมแม่
ทันใดนั้นก็จะมีคนโวยวายว่า มันทำให้คนที่ให้ลูกกินนมผสมรู้สึกผิด
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้ ทำไมข้อความรณรงค์สุขภาพกลายเป็นเรื่องส่วนตัวและทำร้ายความรู้สึกของคนบางกลุ่ม
คำตอบอาจจะทำให้คุณประหลาดใจ แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องของอารมณ์ แต่มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิด
คือ สิ่งที่เรารู้สึกเวลาทำความผิด เป็นความเสียใจที่เกิดจากความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ทำลงไป
เป็นความรู้สึกภายในที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ทำความผิดรับรู้ว่าตัวเองทำสิ่งไม่ดี คำจำกัดความแบบนี้น่าจะตรงกับแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่จำนวนไม่มาก
แต่อารมณ์ที่แท้จริงของผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ให้ลูกหย่านมแม่ก่อนเวลาอันควร
คือ ความเสียใจ คือ ความรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียหรือการหายไปของสิ่งที่มีค่า
พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อผู้หญิงเหล่านี้เห็นการสนับสนุนนมแม่
มันเตือนให้พวกเขานึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาเศร้าใจ ความรู้สึกนี้จะนำไปสู่ความโกรธ
เพราะความรู้สึกที่ค้างคาใจได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่แม่เหล่านี้ต้องการคือการสนับสนุนและความเข้าอกเข้าใจในความเสียใจของพวกเขา
การรับรู้ว่าพวกเขามีความเศร้าเสียใจ แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่พวกเขาได้รับ คือ คำยืนยันสนับสนุนการตัดสินหย่านมก่อนกำหนด
และคำปลอบใจว่าลูกของพวกเขาจะมีสุขภาพดีแข็งแรงทั้งที่ให้กินนมผสม
การไม่สามารถที่จะตระหนักถึงความรู้สึกที่แท้จริงนี้จะคงอยู่ไปนานและทำให้การฟื้นตัวทางอารมณ์เนิ่นนานออกไปอีก เมื่อใดที่มีการพูดถึงการให้ลูกกินนมแม่ขึ้นมา อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมา
และรู้สึกได้ชัดเจนทั้งกับแม่เลิกที่ให้นมไปนานหลายสิบปีและแม่มือใหม่
ถ้าการย้ำเตือนคุณค่าของนมแม่ทำให้คุณรู้สึกโกรธ
คุณก็ควรจะโกรธคนที่ทำให้คุณเสียใจ ไม่ใช่โกรธคนที่พยายามสร้างความตระหนักรู้กับคนทั่วไป
พวกคุณแม่ไม่ได้ล้มเหลวในการให้ลูกกินนมแม่ แต่สังคมของเราต่างหากที่ล้มเหลวในการช่วยเหลือพวกคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่ได้สำเร็จ
และความรับผิดชอบควรจะตกไปอยู่กับ
- ระบบสุขภาพที่สนับสนุนนมแม่แต่คำพูด
แต่กลับปล่อยให้แม่ออกจากโรงพยาบาลก่อนที่จะได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการให้ลูกกินนมแม่
- สังคมที่มองการให้ลูกกินนมแม่เป็นเรื่องลับเฉพาะส่วนตัวที่ต้องทำในที่ปกปิด
เชิดชูเต้านมในฐานะอุปกรณ์ทางเพศและละเลยการใช้ประโยชน์ที่แท้จริงของมัน
- สังคมที่คาดหวังให้แม่รีบต้องกลับไปทำงาน
เพราะลาคลอดได้ไม่นานและไม่ได้รับเงินเดือนระหว่างลาคลอด ขณะเดียวกันที่ทำงานก็ไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็ก
และไม่มีความช่วยเหลือให้แม่สามารถทำงานและให้ลูกกินนมแม่ไปได้พร้อม ๆ กัน
- ระบบทางการแพทย์ที่ยังวัดการเติบโตของทารกกินนมแม่โดยใช้เกณฑ์การเติบโตซึ่งไม่เป็นธรรมชาติของทารกกินนมผสม
และทำให้แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่รู้สึกล้มเหลวเวลาที่ลูกไม่เป็นไปตามเกณฑ์นั้น
- ขั้นตอนการแพทย์ที่ไม่จำเป็นในระหว่างการคลอด
ซึ่งไปขัดขวางเส้นทางธรรมชาติของทารกจากมดลูกสู่เต้านม และข้อบังคับที่จำกัดทารกให้ไม่สามารถเข้าถึงเต้านมแม่ได้บ่อยเท่าที่ควรเพื่อได้รับสารอาหารที่เหมาะสม
- สังคมที่ทำลายภาพพจน์ของร่างกาย โดยสร้างภาพร่างกายของสาวรุ่นว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ และยกย่องร่างกายที่ขาดสารอาหารของดาราคนดังเป็นแบบอย่างให้วัยรุ่นและหญิงวัยเจริญพันธุ์เดินตาม
-------